Tuesday, June 25, 2013

iBackPack เปลี่ยน เป้ และ ipad เป็นสัญญาณจักรยาน



ช่วงนี้ผู้คนหันมาขี่จักรยานกันเยอะมากครับ สำหรับนักปั่นในเมืองทั้งหลาย ที่ต้องผจญกับการจราจรใน กทม. การมีสัญญาณไปเลี้ยว ไฟเบรคติดรถไว้น่าจะดีเลยครับ

iBackpack รูปร่างหน้าตาเป็นแค่กระเป๋า Backpack ใบหนึ่ง ที่ข้างหลังมีช่องเสียบไอแพด และมี application หนึ่งตัวไว้ส่งสัญญาณจากไอโฟนที่อยู่หน้ารถ ไปแสดงผลที่จอของไอแพด ให้รถข้างหลังได้เห็น หรือเอาภาพจาก กล้องหน้า ของไอแพดมาขึ้นที่จอไอโฟนเป็น rear mirror โห้วว ไอเดียเจ๋งมาก !




สัญญาณต่างๆ
- เลี้ยว ใช้มือปัดจอไอโฟนไปทางซ้ายหรือขวา หรือ เลี้ยวอัตโนมัติโดยใช้ gyro เมื่อแฮนด์เลี้ยว
- เบรค อัตโนมัติ เมื่อความเร็วลดลง
- กระจกหลัง ดึงเอาภาพจากกล้องหน้าของไอแพดมาแสดง


หน้าตาและ features ของ App




โดยรวมแล้วไอเดียเจ๋งมากๆ ถึงมากที่สุด เรียกได้ว่าถ้าออกขายเมื่อไหร่ คงได้เห็นเต็มถนนแน่ๆ แต่เสียดายที่งานชิ้นนี้ยังเป็นแค่ไอเดียอยู่ ผลงานชิ้นนี้เป็นของ ดีไซเนอร์ Soohun Jung ใครสนใจงานเจ๋งๆอื่นของนายคนนี้ก็เชิญได้ที่ http://soohunjung.com/ ครับผม



-------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนเก่าๆ
[Photoshop] ปรับปรุงภาพให้น่าดูขึ้นในไม่กี่ขึ้นตอน
[Photshop] สร้าง Action resize รูปภาพและ Unsharp Mask ในจึ๊กเดียว
[Photoshop] ย้อมสี-ใส่หมอก


-------------------------------------------------------------------------------------------------------

 ฝากร้านหน่อยจ่ะ ใครจะไปงานรับปริญญาแล้วหาของขวัญไม่ได้ก็ลองดูนี่ครับ
http://www.photocanvas.in.th/


[ Lightroom ]เทคนิคการใช้ adobe Photoshop lightroom ตอน การจัดการรูป

RMT_4514

เชื่อว่าช่างภาพรับปริญญาหลายๆคน เคยประสบปัญหาในการแต่งภาพหลังจบงานถ่าย เช่น ถ่ายมาเยอะไป เริ่มแต่งยังไงดี? ปัญหาพวกนี้แก้ไขได้โดยจัดระบบการทำงานใหม่ครับ จะได้ไม่เหนื่อยและงานลูกค้าไม่เสียด้วยครับ


ถ่ายมาเยอะไป

  การถ่ายภาพงานรับปริญญา(ยกตัวอย่าง event นี้ก่อนนะครับ ปวดหัวดี) ผมจะแบ่งประเภทภาพออกเป็น สองประเภทใหญ่ๆ


   - ภาพถ่ายกับเพื่อน และ ญาติๆ ภาพกลุ่มนี้เป็นลักษณะถ่ายบุคคลเป็นกลุ่ม ช็อตเดียวสองช็อตต้องได้(เพราะเรียกรวมอีกทีอาจจะไม่ได้แล้ว) เป็นภาพเก็บหลักฐานว่าชั้นมาร่วมงานเธอนะ อิอิ ภาพแบบนี้จะเยอะมาในวันรับจริง.

   - ภาพถ่ายสวยงาม ถ่ายจริงจัง เซ็ตถ่าย ภาพกลุ่มนี้เป็นภาพที่เราหรือบัณฑิตตั้งใจจะถ่ายจริงๆ เช่น "พี่คะหนูอยากถ่ายกับตึกโดมแบบเบลอๆสวยๆ โอเคจ่ะ เดี๋ยวเราไปเดินหาโลกัน พี่มองไว้แล้วสองสามมุม ปะปะ"  ภาพกลุ่มนี้เราจะจัดเต็มเป็นพิเศษ ใส่เทคนิคเต็มที่ทำให้ภาพออกมาสวยและ "ถูกใจบัณฑิต" ซึ่งช๊อตแบบนี้เราจะมีเวลา "คิดก่อนถ่าย" มากกว่า ฉะนั้นวางแผนให้ดีครับ เช่นกล้องเรา DR ไม่พอแต่ในหัวเราอยากได้รายละเอียดฟ้าสวยๆ เราอาจจะต้องถ่ายฟ้าที่มุมเดิมไว้เป็น material ในการทำภาพครับ การวางแผนก่อนถ่ายจะทำให้จำนวนภาพที่เราถ่ายมาต่อหนึ่งช็อตน้อยลงครับ แต่งง่ายกว่ากดมารัวๆสิบกว่าช็อต


เริ่มแต่งยังไงดี?

   เรามาพูดถึงคอนเซ็ปการทำงานหลังจากได้ไฟล์ภาพมาแล้วครับ ตอนนี้เราจะมีภาพ 3 ประเภทอยู่ใน memory แล้วครับ ภาพทั่วไป(เพื่อน,ญาติ),ภาพเซ็ตถ่าย และภาพเสีย เราก็จะมาแบ่งมันออกเป็นสามส่วนโดยใช้ tools ช่วยครับ
      ถ้าบ้านๆเลยเราจะใช้ Photoshop เดี่ยวๆในการแต่งภาพ แยกไฟล์เป็นโฟลเดอร์แล้วค่อยๆ import เข้ามาใน PS แต่งๆๆ (อาจจะทำ actions ไว้เพื่อความเร็ว) แล้วก็เซฟ ซึ่งการทำแบบนี้เป็นการใช้ทรัพยากรแบบสิ้นเปลืองมากๆ(สุขภาพ,memory,เวลา) ถ่ายมาสามสี่งานอาจจะตายหน้าคอมได้ หรือคอมอาจจะพังไฟล์หายก่อนส่ง เพราะ Photoshop ไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้กับสไตล์การทำงานกับไฟล์ภาพหลายๆไฟล์ครับ
       มันถึงได้มี Photoshop lightroom ออกมา เจ้า LR นี้จะเป็นลูกของ PS ซึ่งจะรวบเอา features .ใน PS ที่จำเป็นสำหรับช่างภาพ และเพิ่ม features ที่จำเป็นอื่นๆเข้ามา เช่น การจัดการ collection ภาพ,Camera calibration by metadata หรือ Export feature

   1. การแบ่งภาพเป็นส่วนๆ

ตรงนี้สำคัญมากครับ เราจะใช้ feature การให้ "Rate"(ดาว) ของภาพในการจำแนกภาพออกเป็นกลุ่มครับ (บางคนใช้ flag) เรามาเริ่มตั้งแต่การ สร้าง catalog กันเลยครับ
 
 ไปที่ file > New Catalog

ตั้งชื่อ Catalog


ได้ Catalog มาแล้ว เราก็เริ่ม Import ไฟล์ภาพเข้า


Browse ไปที่ Folder เก็บไฟล์ของเรา กด Check All เพื่อเลือกทั้งหมด จากนั้นกด Import ครับ


ภาพทั้งหมดก็จะมาอยู่ใน Catalog ของเราแล้ว ตอนนี้เราอยู่ที่ tab Library ครับ เพื่อจัดการเรื่อง Rating กันก่อน กดเลข keyboard เพื่อให้ Rate ได้เลยครับ ตรงนี้ให้เราเลือกดูรูปเลยครับ ตามประเภทข้างบน ภาพหมู่รวมๆ(ไว้ Rate 2) ภาพกะแต่งจริงจัง(ไว้ Rate 1) ภาพเสีย (ไว้ Rate 3)


จะสังเกตุว่าตอนนี้ Catalog เรายังแสดงผลภาพทุก Rate อยู่ ให้เราไปปรับตรง filter ครับ ให้เป็น Rating is equal to เลย จะได้แสดงผลเฉพาะ กลุ่มที่เราแบ่งไว้เป็นกลุ่มๆเท่านั้น 


 เสร็จสิ้นแล้วครับสำหรับการแบ่ง Rate ภาพเพื่อง่ายต่อการแต่ง

2. การใช้ Preset ช่วยในการแต่ง

     Preset ใน LR ก็คล้ายๆ Action ใน PS แหล่ะครับ เพียงแต่ Preset จะคุมแค่ค่า Parameter ต่างๆที่เข้ามาทำกับไฟล์ของเรา ไม่ได้ record ทุก Activities เหมือน Action บน PS 
 คอนเซ็ปการนำ Preset มาช่วยในการแต่งภาพก็คือ ใช้ปรับปรุงแสงของภาพทีละหลายๆภาพพร้อมๆกัน อันนี้จะใช้ได้ในกรณี ถ่ายมาในสภาพแสงเดียวกัน (เช่น เซ็ตนี้ถ่ายบนอาคารเรียน หรือสถานที่ปิด แสงแน่นอน) เทคนิคนี้จะช่วยย่นเวลาในการแต่งภาพ เพื่อนๆญาติๆ ที่เราไม่ได้ตั้งใจจะเจาะลงไปแต่งได้ดีทีเดียว

เราย้ายไปที่ Tab Develop กันเลยครับ


จากนั้นให้เราเลือกภาพจากชุดแสงนั้นๆมาแต่งหนึ่งภาพ แนะนำว่าอย่าอัดค่าต่างๆลงไปตูมเดียว แต่งบางๆ พอให้ไม่หลุด histogram พอครับ เรื่องสีก็ย้อมลงไปที่ Shadow กับ Highlight เบาๆครับ เมื่อได้ที่แล้วกด + ตรง Presets panel เลยครับ จะมีหน้าต่าง ให้เราตั้งชื่อ Preset ใหม่ของเรา และจะให้เลือกว่าเราจะเอาค่าอะไรเซฟลงไปมั่ง ผมเลือกทั้งหมดครับ กด Create เลย


Preset ใหม่ของเราก็จะมาโผล่ที่ หมวด User's preset ใน Presets panel ส่วนวิธีใช้ก็คือ เลือกที่ภาพแล้ว กดที่ Preset ค่าต่างๆก็จะวิ่งไปเข้าภาพที่เราเลือกทันที (เราเลือกทีละหลายๆภาพเพื่อความเร็ว)


การใช้ Preset ช่วยเพิ่มความเร็วในการทำภาพก็จริงครับ แต่เราความมาเช็คภาพทีละภาพด้วยนะครับ ไม่ใช่รวบแล้วกด แล้วไปเลย โอกาสภาพจะเพี้ยนมีสูงครับ ตรงนี้ผมจะใช้แค่บางๆ เช่น เพิ่ม Sharpening ย้อม Magenta ทำ vignette ผมจะแยกไว้เลยครับ กดสองสามทีก็ได้ 

3. Save ไฟล์ภาพแบบรวดเร็ว 

   แต่เดิม เราใช้ PS จะต้องเซฟไฟล์ทีละไฟล์ หรือไม่ก็ต้องใช้ Action สำหรับ Save ในการเซฟ แต่ใน LR เราสามารถ รวบไฟล์ทั้งกลุ่ม แล้วกด Export ออกไปทีเดียวได้เลย ที่เหลือก็แค่นั่งรอ เอาเวลาไปเปิด Illust ทำปก DVD ดีกว่า ฮ่าๆ

กดเลือกภาพสักภาพแล้วกด Ctrl+A เลยครับ (Select All) จากนั้นไปที่ File > Export


เลือก Folder ที่จะ save ลงครับ ส่วนค่าข้างล่างจะเป็น การตั้งชื่อไฟล์ การย่อไฟล์(ย่อแล้วคุณภาพเสียครับ ไปใช้นี่ดีกว่า สร้าง Action resize รูปภาพและ Unsharp Mask ในจึ๊กเดียว ) LR ยังมี Preset สำหรับ save อยู่ข้างๆไว้ให้ใช้อยู่ด้วยครับ ลองดู




 สรุป Process ครับ
   ภาพ Rate2(เพื่อนๆ ญาติๆ) : ปรับปรุงแสง+สีใน LR > Recheck > Export
   ภาพ Rate1(แต่งจริงจัง) : ขุดไฟล์ ดึงรายละเอียดขึ้นมา > Export > แต่ง + Retouch ใน PS + Save

ตอนเก่าๆ
[Photoshop] ปรับปรุงภาพให้น่าดูขึ้นในไม่กี่ขึ้นตอน
[Photshop] สร้าง Action resize รูปภาพและ Unsharp Mask ในจึ๊กเดียว
[Photoshop] ย้อมสี-ใส่หมอก

 ฝากร้านหน่อยจ่ะ ใครจะไปงานรับปริญญาแล้วหาของขวัญไม่ได้ก็ลองดูนี่ครับ
http://www.photocanvas.in.th/



Sunday, June 23, 2013

ยิงธนูที่ archerythai มือใหม่หัดยิง

กีฬายิงธนูเป็นกีฬาที่ผมอยากจะเข้าไปสัมผัสมานานแล้วครับ สิ่งที่ทำให้อยากเข้าไปลองเล่นดูคงเป็นเรื่องสมาธิล่ะมั้งครับ และเห็นเวลาคนเค้ายิงธนูแข่งขันกัน โคตรเท่ครับ!

ไม่รอช้าครับ จัดแจงหาข้อมูลสนามยิงธนูในประเทศไทย สรุปได้ว่า มีใหญ่ๆสองที่ในเขต กทม. คือ ที่ Archerythai (13.773535,100.597244) และ การกีฬาแห่งประเทศไทย(13.75558,100.624814) ผมตัดสินใจไปที่ archerythai ครับ เพราะดูเป็นเอกชนดี




Archerythai เป็นสนามยิงธนูขนาด 14 (เป้า/ลู่/แถว/rows/ช่่อง/เลน) ตั้งอยู่ที่ (13.773535,100.597244) มีส่วนร้านขายธนูและอุปกรณ์ ร้านกาแฟเล็กๆ และสนามยิง เอาหล่ะถึงสนามแล้วที่จอดรถกว้างขวาง ฐานะที่เรามือใหม่สุดๆ เราเดินบวกเลยจ่ะ บอกพี่ๆในร้านว่าเราจะมาเรียนยิงธนูเบื้องต้น (เค้าตั้งชื่อคอร์สนี้ว่า Discovery หรูมะ? เมพมะ?) คอร์สมือใหม่นี้เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องผ่านถ้าจะมายิงธนูที่นี่ เพราะเค้าจะถามเลยว่าผ่านคอร์สนี้มายัง ถ้ายังจะไม่สามารถเช่าอุปกรณ์ได้จ่ะ(ไม่ใช่ Rag นะจ๊ะ ที่จะคว้ามาซอยปั๊กๆๆ)



Archery Discovery course เป็นคอร์สเริ่มต้นสำหรับผู้สนใจครับ ระยะเวลา 30นาที ราคา 250 บาท สอนเรื่องกฏกติกามารยาทในการใช้สนาม สัญญาณต่างๆ อุปกรณต่างๆที่ใช้ในการยิง (ใช้ recurve bow) ท่ายิง ท่ายืน คุณครูดูแลดีครับ เปิดสอนเป็นรอบๆ ทุกชั่วโมงนะครับ ต้องนั่งรอนิดนึง


เมื่อจบเควสเปลี่ยนอาชีพแล้ว เราก็หาทางกลับมามอเลยครับ ถุ๊ย! ไม่ใช่เว้ย! เรียนคอร์สเริ่มต้นเสร็จแล้ว เราตัดสินใจ เช่าธนูยิงต่ออีกสักชั่วโมง อัตราก็ 250 บาท/hr จะได้อุปกรณ์เป็นธนูฝึก ลูก6ลูก armguard fingertab เค้าจะยังไม่ให้เรายิงไกลนะครับจนกว่าจะยิงเข้ากลางรัวๆที่ 5 เมตร

ระหว่างยิงก็สนุกดีครับ ถ้าไม่นับน้องผู้หญิง 9 ขวบข้างๆที่ซํดเป้า 15 เมตรเป๊ะๆ เด็กอะไร เก่งมากกก

บ่ายคล้อย คนเริ่มเข้ามายิงเยอะขึ้น เริ่มเห็นคนเอา compound bow มายิง เห็นแล้วค้างเลยฮะ แรงมาก ไม่มีย้อยเลย แถมนิ่งสุดๆ

แถมเรื่องประเภทของธนู
ธนูที่ยิงๆกันอยู่ตอนนี้มี 3 ประเภทครับ
1. Recurve Bow


เป็นธนูที่รูปร่างยังเป็นธนูอยู่ครับ ถอดประกอบได้สามส่วน Handle(คันธนู),Limb(เรียกไรดีวะ ขาธนู ละกัน),String เจ้า Recurve นี้จะมีศูนย์ให้เล็งและปรับด้วย

2. Compound Bow
ธนูที่ไม่ค่อยจะเหมือนธนูเท่าไหร่ เหมือนเครื่องยิงอะไรซักอย่างมากกว่า มี ระบบรอกทดแรง ทำให้ยิงได้ง่ายและแรงขึ้น เวลาเล็งจะง่ายกว่า recurve 

3. Traditional Bow 

ธนูแบบดั้งเดิม ไม่มีเครื่องช่วยยิงอะไรเลย มีหลายแบบ เช่น ธนูญี่ปุ่น เกาหลี มองโกเลีย อะไรพื้นเมืองแบบนี้ แต่ที่ใช้วัสดุสมัยใหม่ก็มีนะ Traditional bow นี้จะใช้ทักษะนักธนูมากที่สุด(เค้าว่ากันว่า) อารมณ์แบบเลโกลัส ไรงี้

ตามต่อเรื่องประเภทธนู http://www.thailandoutdoor.com/ArcheryClub/Knowledge/TypeOfBow/typeofbow.html


** ส่วนตัวผมติดใจ recurve bow ครับ เพราะมันเท่และมันเป็นธนู ฮ่าๆ ถึงแม้จะยิงยากกว่า compound 
** สายตีแขนมือใหม่ม่วงเลยครับ 




ฝากร้านหน่อยจ่ะ ใครจะไปงานรับปริญญาแล้วหาของขวัญไม่ได้ก็ลองดูนี่ครับ
http://www.photocanvas.in.th/